เหตุที่ESGถือเป็นความจำเป็นและมีความสำคัญในยุคนี้ เพราะในระดับโลกมีความเปลี่ยนแปลงด้านในด้านต่างๆ โดยให้ความสำคัญทั้งกติกาด้านสิ่งแวดล้อม กติกาการค้า สิทธิมนุษยชน การกำกับดูแลกิจการที่ดี ฯลฯ มีผลให้ธุรกิจขนาดใหญ่เริ่มกำหนดให้ซัพพลายเออร์และคู่ค้าของตนต้องคำนึงถึงกติกาใหม่ ธุรกิจไทยทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก รวมถึงธุรกิจชุมชนท้องถิ่นซึ่งอยู่ในห่วงโซ่ของตลาดโลก จึงต้องดำเนินการให้สอดรับกับตามมาตรฐานเหล่านั้นผ่านแนวทางESG เพื่อรักษาสถานะการเป็นคู่ค้า และแสวงหาโอกาสใหม่ๆ จากแนวทางกฎระเบียบด้านESG

นอกจากนี้ESGยังเป็นเทรนด์ที่นักลงทุน สถาบันการเงินให้ความสำคัญ เพราะธุรกิจที่มีESGที่ดี จะสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขัน ศักยภาพการเติบโตในระยะยาว สะท้อนบทบาทความรับผิดชอบของธุรกิจ บริหารจัดการความเสี่ยงได้มาตรฐาน จึงช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ ได้

ประการสำคัญ ภายในปี2573 (ค.ศ.2030)บริษัทหรือองค์กรที่ไม่มีแนวคิด ESG อาจไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมทั่วไป เพราะไม่สอดรับกับเป้าหมายความร่วมมือด้านความยั่งยืนของโลก ที่ประเทศสมาชิกกว่า193 ประเทศทั่วโลกได้ให้คำมั่นว่าจะร่วมกันบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs)

ขณะนี้ โจทย์ของESGสำหรับองค์กรต่างๆ คือการเร่งลงมือทำ เพราะกฎกติกาด้านESGจะมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้น การลงมือทำ เพื่อรับมือและคว้าโอกาสใหม่ๆ ด้านESGย่อมทำให้นำหน้า หรือเท่าทันผู้อื่นในเชิงธุรกิจ

ในส่วนของมูลนิธิสัมมาชีพซึ่งมีภารกิจสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่โดยการเชื่อมโยงเครือข่ายต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และชุมชน เพื่อร่วมมือกันสร้างเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ดังนั้นการร่วมเสริมสร้างความรู้และการปฏิบัติด้านESGทั้งในระดับภาคธุรกิจ ไปจนถึงชุมชน ท้องถิ่น องค์กรต่างๆ จึงเป็นแนวทางที่จะร่วมสร้างผลกระทบในทางบวกและยั่งยืนต่อสังคมต่อไป